Sunday, June 10, 2012

Gym Rat (part I)


Who would have imagined, a girl who dreaded PE classes as a kid would now go to the gym (almost) everyday?
เด็กผู้หญิงคนนั้นคือข้าพเจ้าเอง เกลียดอ่ะ ชม พละเนี่ย ต้องวิ่งตามลูกบอลกลมๆ เหนื่อยก็เหนื่อย ร้อนก็ร้อน (อากาศเมืองไทยอ่ะคิดดู) หิวก็หิว เป็นอะไรที่ไม่ชอบทำเลยให้ตายเหอะ สมัยก่อนการออกกำลังกายไม่เคยอยู่ในหัวสมองเลยก็ว่าได้
แต่แนวคิดนี้ได้เปลี่ยนไปตั้งแต่อายุได้ 29ขวบ เกิดอยากจะเปลี่ยนวิถีการใช้ชีวิตของตัวเองขึ้นมา ตอนนั้นประมาณว่าอยากผอม อยากรู้สึกดีกับตัวเอง เนื่องด้วยไปหาหมอแล้วพบว่าต่อมไทรอยด์เราเป็นประเภทขี้เกียจ เลยต้องพึ่งยาช่วยกระตุ้นต่อมให้ทำงานปกติ แต่ยาก็ไม่ช่วย 100เปอร์เซนท์
แต่สิ่งที่จะช่วยให้อาการไม่แย่ลงคือการออกกำลังกายสม่ำเสมอ ตอนแรกก็ลองเริ่มๆหลายครั้งแล้วก็ไม่เคยจะทำไปได้นาน เป็นอันว่าความขี้เกียจเข้าครอบงำซะทุกครั้ง
จนเมื่อย่างเข้าปี 2008 เกิดนึกอยากจะลองดูอีกครั้ง ตั้งเป้าหมายไว้เล็กๆในใจไม่บอกใคร ว่าจะพยายามออกกำลังกายสามวันต่ออาทิตย์ เริ่มจาก เดิน อือ ใช่เลย การเดินเนี่ยเป็นอะไรที่ยอดเยี่ยมมาก เดินไปนู้นมานี่ ไม่นั่งรถ เดินขึ้นบันได ไม่ขึ้นลิฟ (ปกติก็ไม่ใช้อยู่แล้ว เพราะคิดเสมอว่าลิฟ สำหรับคนมีรถเข็นเด็กและคนนั่งรถเข็น ยกเว้นต้องไปตึกที่สูงมากๆหลายสิบชั้น อันนั้นคงเลี่ยงลิฟไม่ได้) เดินออกกำลังกายแถวบ้าน (เดินไปสองสามนาทีจากอพาร์ตเม้นท์ก็จะมีไร่กว้างขวางให้เดินเล่นวนไปวนมารอบๆได้ ตอนนั้นเดินสามครั้งต่ออาทิตย์ คิดในใจว่า เราน่าจะมีสุนัขเป็นสัตว์เลี้ยงแฮะ จะได้
เป็นข้ออ้างพามาเดินได้ทุกวัน เพราะวันที่ฝนตกจะขี้เกียจ แต่ถ้าเรามีสุนัข ฝนจะตก อากาศจะหนาว ฟ้าจะร้องเราก็ต้องพามันออกมาเดินเล่นอ่ะ ไม่มีข้อยกเว้น
เดินๆๆๆ ไปได้ซักระยะ ก็เริ่มวิ่งจ๊อกกิ้ง วิ่งเหยาะ ๆ และก็หยุดเป็นระยะๆเพราะตอนนั้นยังไม่ฟิต แป๊บๆก็เหนื่อยแล้ว
นอกจากวิ่ง เราก็ซื้อดีวีดีออกกำลังกาย ประเภทต่างๆมาลองเล่นดู ที่ชอบก็มีพวกออกกำลังกายแขน ขา สะโพก หน้าท้อง พิลาทิส และก็เต้นสเตป ทำมาได้ประมาณ 5เดือน นน ก็ลดลง มีกล้ามเนื้อหน้าท้องมากขึ้น วิ่งได้นานขึ้นโดนไม่หอบแฮ่กๆ และรู้สึกว่าตัวเองพลังวังชาขึ้นมา ไม่เหนื่อยง่าย ง่วงเพลีย (แต่ก็ยังพึ่งกาแฟดำอยู่นะ ดื่มทุกวันเลย) เหมือนเมื่อก่อน
แต่ทำไปได้ซักประมาณปีกว่าๆ ประกอบกับเริ่มไม่มีเวลาฟิกซ์ตายตัวที่แน่นอน และอารมณ์ขี้เกียจมาครอบงำ (อีกแล้ว) เลยทำให้ช่วงปี 2010-2011 เป็นปีที่ขาดวินัย ออกกำลังอาทิตย์ละครั้งมั่ง ไม่ออกมั่ง กินตามใจตัวเองเพิ่มขึ้นด้วย กินข้าวนอกบ้านบ่อยด้วย พอมีเวลาแค่ช่วงเย็นก็จะไม่เอาแล้ว ไม่อยากออกกำลังกาย อยากนั่งเล่นเนท เล่นเฟสบุค นน ที่ลดไปเมื่อสองปี่ก่อนก็เริ่มคืบคลานกลับเข้ามาในร่างกายเราทีละกิโลสองกิโล อืมมม จะเอายังงัยดีหว่า จะเริ่มกลับไปทำแบบเมื่อก่อนก็ชักจะยากแล้ว ไม่มีวินัยไม่มีสมาธิ อายุเพิ่มขึ้น ความขี้เกียจก็เพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณ (คนอื่นไม่รู้เป็นมั้ยนะ เราอ่ะ เป็น เฮ้อ)

เดี๋ยวค่อยกลับมาบันทึกใหม่ ต้องทำบทเรียนเยอรมันบทนึงให้จบก่อน ไว้มีเวลาและอาราณ์จะรำพึงรำพันแล้วจะกลับมาต่อใหม่
To be continued...

Tuesday, June 5, 2012

April+May

April+May's pick: Mozillas by Jill Kargman. Okay I've been slacking off a bit (as I have to take some time focusing on the German learning) so I could only finish one book in the past two months. I hope I can make it up this summer so it remains one of my NY resolutions (12 books or+ in a year). The Momzillas clique was hilarious. I also enjoyed the book particularly because the story 's location takes place in Manhattan. The city that never sleeps, the city I fell in love with 9years ago...

Tuesday, February 21, 2012

Carnival


Happy Fasching 2012!


February


My February's choice: You'll Never Nanny in This Town Again by Suzanne Hansen. Phewww, what a month! I've signed up at a fitness near my place and I've been going there almost everyday (except for one day, really! i didn't go because of stomach cramps)I've actually bought this book last year but managed to read only one-third and put it down temporarily. The book was a fun read and not boring or anything but between new books and other distractions I somehow didn't touch it until two weeks ago when i decided it should be my Feb's choice. I finished reading it early this morning (thanks to getting up at 6:30-7am these days!why??) After having finished this book, I googled Danny Devito's personal life..ha...ha.. No this book is not about Danny, it's about a nanny's experience in Hollywood and there's more to it. While reading it, I had many moments like..'oh yeah, that's right..i feel exactly the same'..lol. I can relate a lot to her experience and empathize with her in many ways. I'd give 4 stars out of 5 for this one ^^.





Saturday, January 21, 2012

January


My January 's choice: How to Cook a Tart by Nina Killham.
Part of my resolution this year is reading at least one book per month. I finished this book last night (20/01/2012) so i achieved my goal sooner than i expected. The book was a fun read so it went pretty fast. Don't be misled by the title, it's not a cook book, it's a novel with foodie sense. Food, love, lust, and murder are all in this book ;-).
Now i've got a bit over one week till the end of the month. There are a few half way-read books on my shelf so i will fetch one and read before I start a brand new one in Febuary.
XOXO, till next month.

Sunday, January 1, 2012

Note to Self : New Year's Resolutions 2012



ตอนนี้นั่งรอจะcount down (นั่งดูทีวีช่องTV5Monde ไปด้วยเพราะทุกปี

เค้ามีรายการพิเศษ มี โชว์มี circusการแสดง เกว็นก็เลยชอบดู

เพราะปกติเราสองคนไม่ดูทีวีเลย) เพื่อต้อนรับปีใหม่2012ที่จะมาถึง เค้าว่าโลกจะแตก อือ ก็น่ากลัวอยู่นะ

อีกสอง ชม กว่าๆรู้กัน

เอาเป็นว่าสมมุติว่าโลกไม่แตกล่ะกันน้า (เพราะที่ไทยก็ 2555ไปแล้วนิ ก่อนที่เยอรมัน)

เราก็กลับมาคิดnew year's resolutionsของปีใหม่นี้ก่อนดีกว่า

อย่างแรกเลยคือ

เรื่องออกกำลังกาย ทำดีมาได้นานพอสมควร จนเมื่อเร็วๆมานี้ที่มาดีแตก

แล้วก็ละเลยไม่ออกกำลังกายซะอย่างนั้น เลยคิดว่าปีใหม่และปีที่จะถึงต่อๆไปในอนาคต

เราจะทำตัวดีขึ้น ทำเรื่องการออกกำลังกายให้เป็นเรื่องปกติ เหมือน การอาบน้ำ เพราะเราก็อาบน้ำ

ทุกวัน ทำไมจะออกกำลังกายไม่ได้ และก็เหมือนเรื่องกิน ก็กินมันทุกวันทำไมจะออกไปเดินย่อย

ไม่ได้ทุกวันอ่ะนะ

แต่ที่จะไม่ตั้งเป้าคือลด นน เพราะคิดว่าถ้าเราออกกำลังกายสม่ำเสมอ เรื่อง นน มันก็เป็นไปตามระบบของ

ร่างกาย ไม่เครียดกับหุ่นตัวเองเนี่ยทำให้มีเวลาไปคิดเรื่องอื่นได้มากขึ้น

เรื่องการอ่านหนังสือ เมื่อปี2010ตั้งหัวข้อนี้ไว้เหมือนกัน และก็ทำได้จริงๆ ปีนั้น อ่านหนังสือได้อย่างน้อยเดือน

ละเล่ม ซื้อจากเวปอเมซอนมั่ง ห้องสมุดมั่ง แต่ส่วนมากจะอ่านเล่มที่ยืมจากห้องสมุดจบก่อนเพราะเวลายืมยืมได้สี่อาทิตย์

ก็เลยเหมือนฝึกบังคับให้เราอ่านให้จบไปด้วย อีกทั้งปีนั้นงานเลี้ยงเด็กเราก็จะเต็มเวลา เลยมีเวลานั่งอ่าน

ตอนนั่งรถไฟไปทำงาน และตอนเด็กหลับ>_

พอมาปีนี้สั่งซื้อหนังสือมาเยอะแต่ไม่ค่อยได้อ่าน เวลาอยู่บ้านส่วนมากก็จะใช้เนท แหะๆ

เวลาจะได้อ่านจริงๆคือตอนไปเที่ยวไปทริปหน้าร้อน ที่ที่ไม่มีเนท

เรื่องสุดท้ายที่ตั้งใจจะพัฒนา คือเรื่องเรียนภาษาและงาน

ปีนี้ถ้ามีงานเข้ามาดีๆก็จะรับทำแต่ถ้าไม่ถูกใจก็จะไม่รับทำ แล้วตั้งใจจะกลับไปเรียนภาษาเยอรมันให้แน่นให้เป๊ะขึ้น

ปีที่ผ่านๆมาพอไปเลี้ยงเด็กก็ใช้แต่ภาษาอังกฤษเพราะเลือกทำกับครอบครัวต่างชาติ ที่ใช้แต่ภาษาอังกฤษอย่างเดียว

เราเลยไม่กระตือรือร้นที่จะเรียนภาษาเยอรมันเพิ่มขึ้น รู้สึกว่ารู้แบบเอาตัวรอดได้ ก็พอแล้ว เพราะถือว่าได้ใช้แต่ภาษาอังกฤษ

อยู่ ที่บ้าน สามีก็ไม่ใช่คนเยอรมัน ไม่มีคอนเนคชั่นกับคนเยอรมัน นอกจากเพื่อนบ้าน นานๆคุยกัน และก็เวลาไปซื้อของก็พอเอาตัวรอดได้ อีกทั้งคิดว่าอีกไม่นานเราคงย้ายกันไปอยู่ประเทศอื่นซึ่งจะเลือกประเทศที่ ใช้ภาษาอังกฤษ (จนมาปีนี้ปีที่หกแล้วที่อยู่เยอรมันมา ไม่ย้ายซักที ฮ่าๆ แถมมีแววว่าจะอยู่อีกอย่างน้อยสองสามปี แป่ว)

จนเมื่อสองสามเดือนมา นี้ ได้รู้จักกับเพื่อนใหม่คนนึง เป็นคนจากประเทศยูเครน วัยเดียวกัน เจอกันเพื่อจะเป็น tandem partnerแลกเปลี่ยนภาษา อังกฤษ กะเยอรมัน เพื่อนคนนี้อยู่เยอรมันมาได้ห้าปีแล้ว พอๆกับเราน่ะแหละ แต่ภาษาเยอรมันเค้าขั้นเทพ มีสามีเป็นคนเยอรมัน/รัซเซีย อยู่ที่บ้านเค้าก็คุยภาษา

รัสเซียกับแฟนเค้า ซึ่งสถานการณ์ของเพื่อนคนนี้ก็คล้ายๆเราคือเค้าก็ไม่ได้มีคอนเนคชั่นที่ต้องใช้ภาษาเยอรมันซักเท่าไหร่

(แต่ตอนนี้เค้าได้เริ่มงานกับ amazonแล้วก็ต้องเรียนภาษาอังกฤษเสริมด้วย)

แต่ ที่ต่างกันคือ เพื่อนมาอยู่เยอรมันก็เรียนภาษาเยอรมันแบบอินเทนซีพ (เรียน รรภาษาเดียวกะเราด้วยนะ แต่คนละคอร์สกัน)แล้วทำงานไปด้วย เรียนหนัก ทำงานหนัก จนจบแล้วสอบเข้าเรียนต่อโปรแกรมcomputer linguistics ของLMUได้ เพื่อนบอกว่าตอนเรียนภาษาก้ฝึกพูด

ดูหนัง อ่านหนังสือ เยอรมัน ตามตำราการเรียนภาษาให้ประสบความสำเร็จทั่วไป ฟังแล้วทึ่ง

แล้วก็ย้อนมาดูตัวเอง อือ ตัวเราหนอก็รักการเรียนภาษามาแต่ไหนแต่ไร ชอบเรียนภาษาอังกฤษและภาษาฝรั่งเศสมากๆ

ตอนอยู่มัธยม พอมาเรียนมหาวิทยาลัยก็เลือกลงเรียนภาษาญี่ปุ่นด้วยหนึ่งปี แต่ไปไม่ไหวจริงๆพอเริ่มเรียนการอ่าน

เลยดรอปภาษาญี่ปุ่นไว้แค่นั้น ภาษาที่เอาดีมาได้เป็นเรื่องเป็นราวก็เลยมีแค่ภาษาอังกฤษ แล้วทำไมหนอ

ทำไม เราถึงไม่รักเรียนภาษาเยอรมันเท่าที่ควร จะว่าไปเหมือนมีอคติกับมันนิดๆมั้ยน้า ว่าเป็นภาษาที่ฟังแล้ว

ตลก ไม่ไพเราะ แต่พอมาคิดๆดู คนต่างชาติบางคนฟังภาษาไทยเค้าก็ว่ามันตลกนะ อิอิ

วันนี้ จัดชั้นหนังสือ เลยเจอแคตาลอคของVHS(ที่เรียนภาษาและคอร์สเรียนศึกษาผุ้ใหญ่ สำหรับบุคลทั่วไปของเยอรมันนี)สาขาUnterhaching ที่อยู่ใกล้บ้านเรา เลยรื้อฟื้นความหลัง และความหวังใหม่

ว่าครั้งนึงนานมาแล้วเมื่อ ปี2007เรารวบรวมความกล้าเข้าไปคุยกับผู้อำนวยการของที่นั่นแล้วเสนอกับเค้า ว่าเราอยากสอนภาษาอังกฤษ เพราะเราเพิ่งเรียนจบมาใหม่ๆ ไฟแรง ผุ้อำนวยการ เค้าก็ใจดี เปิดคอร์สให้เราสอนภาษาที่นั่นหนึ่งเทอม แถมตั้งชื่อคอร์สไว้สวยหรูว่าEnglish for Traveling in Asia แบบมีเรื่องวัฒนธรรมมาเสริมด้วย ฟังดูดีน้า

แต่....มีแต่ ผุ้อำนวยการบอกว่ามีคนมาลงเรียนสามคน ฮ่าๆ ปกติต้องสี่คนขึ้นไปเค้าถึงจะเปิดคอร์ส แป่ว ท่านเลยบอกว่า

ไม่เป็นไร Frau สมฤทัย เดี๋ยว ถ้ามาคนมาลงเรียนเพิ่มเราจะเปิดเทอมต่อไป

ตอนนั้นเราเลยบอกผู้อำนวยการไปว่า เราอยากจะเรียนภาษาเยอรมันให้จบคอร์สหกร้อย ชม ก่อนแล้วค่อยว่ากันอีกที

เพราะเราสนใจอยากเปิดสอน คอร์สทำอาหารไทยด้วย แต่เราต้องได้ภาษาเยอรมันสำหรับคอร์สนั้นๆ

เราเลยแปะไว้ว่าจะติดต่อไป จนเรียนเยอรมันจบคอร์สเบื้องต้นแล้ว สอบผ่านแล้ว ยังพูดไม่ได้ อ็ากก ยังไม่สามารถอธิบาย

อะไรได้เป็นเรื่องเป็นราว เลยไม่มีหน้าที่จะติดต่อผู้อำนวยการไปอีกครั้ง >_


ปีนี้ล่ะเราจะพยายามใหม่ จะตั้งใจเรียนให้จบเป็นคอร์สๆ สอบไปตามระดับ และที่สำคัญไม่กดดันตัวเอง

จะเรียนภาษาเยอรมันด้วยทัศนคติใหม่ว่าเป็นภาษาหนึ่งที่อยากเรียนแล้วเก็บไว้กับตัวเป็นความรู้ ไม่ใช่เรียน

เพื่อที่จะได้งาน หรือ เรียนเพราะ "ต้อง"เรียน อันนั้นเรารู้ว่าเราไม่มีความสุขแน่ถ้าบังคับให้เรียนสิ่งที่ไม่ชอบ

ตอนย้ายมาอยู่เยอรมันใหม่ๆมีคิดจะไปเริ่มเรียนวิศวะเพราะงานด้านนี้เยอะเหลือเกิน แต่ดูๆแล้วมันเป็นไปไม่ด้ายย

อันนั้นต้องกลับไปเกิดใหม่ 555 (แต่มีครั้งนึงที่เสนอไอเดียให้เกว็นไปเรื่องนึง จนเกว็นคิดมาเป็นโปรเจคเล็กๆ และไปเสนอหัวหน้า

อ่าาา เราก็ภูมิใจนะที่มีหัวกะเค้าเหมือนกัน ฟังเรื่องงานจากสามีมากจนบังเกิดไอเดีย 555)

ที่ สำคัญอีกอย่างที่คิดจะกลับไปเข้าห้องเรียนอีกครั้งเพราะรู้ตัวว่าเริ่มแก่ แล้วอ่ะ สมองมันก็ฝ่อๆไปตามวัย เค้าว่ากันว่าเพื่อป้องกันไม่ให้

เป็นโรคอัลไซเมอร์ตอนแก่ คนเราควรจะเรียนรู้ใช้สมองคิดนู้นนี่ทุกวัน แต่อันนี้ไม่จำเป็นต้องกลับไปเข้าห้องเรียนทำการบ้าน

ก็ได้ มีกิจกรรมเยอะที่exerciseสมองเราได้ อันนี้แล้วแต่ความชอบของคน สำหรับเรา เข้าห้องเรียนแล้วมีการโต้ตอบคือการ

ใช้สมองที่ดีที่สุด แต่ส่วนมากแต่ละคอร์สภาษาที่เรียนมาจะเป็นแนวฟังอาจารย์แล้วนั่งเกือบสัปปะหงกทุกที ;-P

พิมพ์มาซะยาว พักกินขนมเป็นระยะๆ อิอิ ฝอยมาจนใกล้เที่ยงคืนล่ะ เดี๋ยวไว้มีอารมณ์มาฝอยใหม่ สวัสดีปีใหม่ทุกท่านค่า