Sunday, January 1, 2012

Note to Self : New Year's Resolutions 2012



ตอนนี้นั่งรอจะcount down (นั่งดูทีวีช่องTV5Monde ไปด้วยเพราะทุกปี

เค้ามีรายการพิเศษ มี โชว์มี circusการแสดง เกว็นก็เลยชอบดู

เพราะปกติเราสองคนไม่ดูทีวีเลย) เพื่อต้อนรับปีใหม่2012ที่จะมาถึง เค้าว่าโลกจะแตก อือ ก็น่ากลัวอยู่นะ

อีกสอง ชม กว่าๆรู้กัน

เอาเป็นว่าสมมุติว่าโลกไม่แตกล่ะกันน้า (เพราะที่ไทยก็ 2555ไปแล้วนิ ก่อนที่เยอรมัน)

เราก็กลับมาคิดnew year's resolutionsของปีใหม่นี้ก่อนดีกว่า

อย่างแรกเลยคือ

เรื่องออกกำลังกาย ทำดีมาได้นานพอสมควร จนเมื่อเร็วๆมานี้ที่มาดีแตก

แล้วก็ละเลยไม่ออกกำลังกายซะอย่างนั้น เลยคิดว่าปีใหม่และปีที่จะถึงต่อๆไปในอนาคต

เราจะทำตัวดีขึ้น ทำเรื่องการออกกำลังกายให้เป็นเรื่องปกติ เหมือน การอาบน้ำ เพราะเราก็อาบน้ำ

ทุกวัน ทำไมจะออกกำลังกายไม่ได้ และก็เหมือนเรื่องกิน ก็กินมันทุกวันทำไมจะออกไปเดินย่อย

ไม่ได้ทุกวันอ่ะนะ

แต่ที่จะไม่ตั้งเป้าคือลด นน เพราะคิดว่าถ้าเราออกกำลังกายสม่ำเสมอ เรื่อง นน มันก็เป็นไปตามระบบของ

ร่างกาย ไม่เครียดกับหุ่นตัวเองเนี่ยทำให้มีเวลาไปคิดเรื่องอื่นได้มากขึ้น

เรื่องการอ่านหนังสือ เมื่อปี2010ตั้งหัวข้อนี้ไว้เหมือนกัน และก็ทำได้จริงๆ ปีนั้น อ่านหนังสือได้อย่างน้อยเดือน

ละเล่ม ซื้อจากเวปอเมซอนมั่ง ห้องสมุดมั่ง แต่ส่วนมากจะอ่านเล่มที่ยืมจากห้องสมุดจบก่อนเพราะเวลายืมยืมได้สี่อาทิตย์

ก็เลยเหมือนฝึกบังคับให้เราอ่านให้จบไปด้วย อีกทั้งปีนั้นงานเลี้ยงเด็กเราก็จะเต็มเวลา เลยมีเวลานั่งอ่าน

ตอนนั่งรถไฟไปทำงาน และตอนเด็กหลับ>_

พอมาปีนี้สั่งซื้อหนังสือมาเยอะแต่ไม่ค่อยได้อ่าน เวลาอยู่บ้านส่วนมากก็จะใช้เนท แหะๆ

เวลาจะได้อ่านจริงๆคือตอนไปเที่ยวไปทริปหน้าร้อน ที่ที่ไม่มีเนท

เรื่องสุดท้ายที่ตั้งใจจะพัฒนา คือเรื่องเรียนภาษาและงาน

ปีนี้ถ้ามีงานเข้ามาดีๆก็จะรับทำแต่ถ้าไม่ถูกใจก็จะไม่รับทำ แล้วตั้งใจจะกลับไปเรียนภาษาเยอรมันให้แน่นให้เป๊ะขึ้น

ปีที่ผ่านๆมาพอไปเลี้ยงเด็กก็ใช้แต่ภาษาอังกฤษเพราะเลือกทำกับครอบครัวต่างชาติ ที่ใช้แต่ภาษาอังกฤษอย่างเดียว

เราเลยไม่กระตือรือร้นที่จะเรียนภาษาเยอรมันเพิ่มขึ้น รู้สึกว่ารู้แบบเอาตัวรอดได้ ก็พอแล้ว เพราะถือว่าได้ใช้แต่ภาษาอังกฤษ

อยู่ ที่บ้าน สามีก็ไม่ใช่คนเยอรมัน ไม่มีคอนเนคชั่นกับคนเยอรมัน นอกจากเพื่อนบ้าน นานๆคุยกัน และก็เวลาไปซื้อของก็พอเอาตัวรอดได้ อีกทั้งคิดว่าอีกไม่นานเราคงย้ายกันไปอยู่ประเทศอื่นซึ่งจะเลือกประเทศที่ ใช้ภาษาอังกฤษ (จนมาปีนี้ปีที่หกแล้วที่อยู่เยอรมันมา ไม่ย้ายซักที ฮ่าๆ แถมมีแววว่าจะอยู่อีกอย่างน้อยสองสามปี แป่ว)

จนเมื่อสองสามเดือนมา นี้ ได้รู้จักกับเพื่อนใหม่คนนึง เป็นคนจากประเทศยูเครน วัยเดียวกัน เจอกันเพื่อจะเป็น tandem partnerแลกเปลี่ยนภาษา อังกฤษ กะเยอรมัน เพื่อนคนนี้อยู่เยอรมันมาได้ห้าปีแล้ว พอๆกับเราน่ะแหละ แต่ภาษาเยอรมันเค้าขั้นเทพ มีสามีเป็นคนเยอรมัน/รัซเซีย อยู่ที่บ้านเค้าก็คุยภาษา

รัสเซียกับแฟนเค้า ซึ่งสถานการณ์ของเพื่อนคนนี้ก็คล้ายๆเราคือเค้าก็ไม่ได้มีคอนเนคชั่นที่ต้องใช้ภาษาเยอรมันซักเท่าไหร่

(แต่ตอนนี้เค้าได้เริ่มงานกับ amazonแล้วก็ต้องเรียนภาษาอังกฤษเสริมด้วย)

แต่ ที่ต่างกันคือ เพื่อนมาอยู่เยอรมันก็เรียนภาษาเยอรมันแบบอินเทนซีพ (เรียน รรภาษาเดียวกะเราด้วยนะ แต่คนละคอร์สกัน)แล้วทำงานไปด้วย เรียนหนัก ทำงานหนัก จนจบแล้วสอบเข้าเรียนต่อโปรแกรมcomputer linguistics ของLMUได้ เพื่อนบอกว่าตอนเรียนภาษาก้ฝึกพูด

ดูหนัง อ่านหนังสือ เยอรมัน ตามตำราการเรียนภาษาให้ประสบความสำเร็จทั่วไป ฟังแล้วทึ่ง

แล้วก็ย้อนมาดูตัวเอง อือ ตัวเราหนอก็รักการเรียนภาษามาแต่ไหนแต่ไร ชอบเรียนภาษาอังกฤษและภาษาฝรั่งเศสมากๆ

ตอนอยู่มัธยม พอมาเรียนมหาวิทยาลัยก็เลือกลงเรียนภาษาญี่ปุ่นด้วยหนึ่งปี แต่ไปไม่ไหวจริงๆพอเริ่มเรียนการอ่าน

เลยดรอปภาษาญี่ปุ่นไว้แค่นั้น ภาษาที่เอาดีมาได้เป็นเรื่องเป็นราวก็เลยมีแค่ภาษาอังกฤษ แล้วทำไมหนอ

ทำไม เราถึงไม่รักเรียนภาษาเยอรมันเท่าที่ควร จะว่าไปเหมือนมีอคติกับมันนิดๆมั้ยน้า ว่าเป็นภาษาที่ฟังแล้ว

ตลก ไม่ไพเราะ แต่พอมาคิดๆดู คนต่างชาติบางคนฟังภาษาไทยเค้าก็ว่ามันตลกนะ อิอิ

วันนี้ จัดชั้นหนังสือ เลยเจอแคตาลอคของVHS(ที่เรียนภาษาและคอร์สเรียนศึกษาผุ้ใหญ่ สำหรับบุคลทั่วไปของเยอรมันนี)สาขาUnterhaching ที่อยู่ใกล้บ้านเรา เลยรื้อฟื้นความหลัง และความหวังใหม่

ว่าครั้งนึงนานมาแล้วเมื่อ ปี2007เรารวบรวมความกล้าเข้าไปคุยกับผู้อำนวยการของที่นั่นแล้วเสนอกับเค้า ว่าเราอยากสอนภาษาอังกฤษ เพราะเราเพิ่งเรียนจบมาใหม่ๆ ไฟแรง ผุ้อำนวยการ เค้าก็ใจดี เปิดคอร์สให้เราสอนภาษาที่นั่นหนึ่งเทอม แถมตั้งชื่อคอร์สไว้สวยหรูว่าEnglish for Traveling in Asia แบบมีเรื่องวัฒนธรรมมาเสริมด้วย ฟังดูดีน้า

แต่....มีแต่ ผุ้อำนวยการบอกว่ามีคนมาลงเรียนสามคน ฮ่าๆ ปกติต้องสี่คนขึ้นไปเค้าถึงจะเปิดคอร์ส แป่ว ท่านเลยบอกว่า

ไม่เป็นไร Frau สมฤทัย เดี๋ยว ถ้ามาคนมาลงเรียนเพิ่มเราจะเปิดเทอมต่อไป

ตอนนั้นเราเลยบอกผู้อำนวยการไปว่า เราอยากจะเรียนภาษาเยอรมันให้จบคอร์สหกร้อย ชม ก่อนแล้วค่อยว่ากันอีกที

เพราะเราสนใจอยากเปิดสอน คอร์สทำอาหารไทยด้วย แต่เราต้องได้ภาษาเยอรมันสำหรับคอร์สนั้นๆ

เราเลยแปะไว้ว่าจะติดต่อไป จนเรียนเยอรมันจบคอร์สเบื้องต้นแล้ว สอบผ่านแล้ว ยังพูดไม่ได้ อ็ากก ยังไม่สามารถอธิบาย

อะไรได้เป็นเรื่องเป็นราว เลยไม่มีหน้าที่จะติดต่อผู้อำนวยการไปอีกครั้ง >_


ปีนี้ล่ะเราจะพยายามใหม่ จะตั้งใจเรียนให้จบเป็นคอร์สๆ สอบไปตามระดับ และที่สำคัญไม่กดดันตัวเอง

จะเรียนภาษาเยอรมันด้วยทัศนคติใหม่ว่าเป็นภาษาหนึ่งที่อยากเรียนแล้วเก็บไว้กับตัวเป็นความรู้ ไม่ใช่เรียน

เพื่อที่จะได้งาน หรือ เรียนเพราะ "ต้อง"เรียน อันนั้นเรารู้ว่าเราไม่มีความสุขแน่ถ้าบังคับให้เรียนสิ่งที่ไม่ชอบ

ตอนย้ายมาอยู่เยอรมันใหม่ๆมีคิดจะไปเริ่มเรียนวิศวะเพราะงานด้านนี้เยอะเหลือเกิน แต่ดูๆแล้วมันเป็นไปไม่ด้ายย

อันนั้นต้องกลับไปเกิดใหม่ 555 (แต่มีครั้งนึงที่เสนอไอเดียให้เกว็นไปเรื่องนึง จนเกว็นคิดมาเป็นโปรเจคเล็กๆ และไปเสนอหัวหน้า

อ่าาา เราก็ภูมิใจนะที่มีหัวกะเค้าเหมือนกัน ฟังเรื่องงานจากสามีมากจนบังเกิดไอเดีย 555)

ที่ สำคัญอีกอย่างที่คิดจะกลับไปเข้าห้องเรียนอีกครั้งเพราะรู้ตัวว่าเริ่มแก่ แล้วอ่ะ สมองมันก็ฝ่อๆไปตามวัย เค้าว่ากันว่าเพื่อป้องกันไม่ให้

เป็นโรคอัลไซเมอร์ตอนแก่ คนเราควรจะเรียนรู้ใช้สมองคิดนู้นนี่ทุกวัน แต่อันนี้ไม่จำเป็นต้องกลับไปเข้าห้องเรียนทำการบ้าน

ก็ได้ มีกิจกรรมเยอะที่exerciseสมองเราได้ อันนี้แล้วแต่ความชอบของคน สำหรับเรา เข้าห้องเรียนแล้วมีการโต้ตอบคือการ

ใช้สมองที่ดีที่สุด แต่ส่วนมากแต่ละคอร์สภาษาที่เรียนมาจะเป็นแนวฟังอาจารย์แล้วนั่งเกือบสัปปะหงกทุกที ;-P

พิมพ์มาซะยาว พักกินขนมเป็นระยะๆ อิอิ ฝอยมาจนใกล้เที่ยงคืนล่ะ เดี๋ยวไว้มีอารมณ์มาฝอยใหม่ สวัสดีปีใหม่ทุกท่านค่า




No comments: